ทำความรู้จักระบบ Shipping นำเข้าสินค้าจากจีน
ปัจจุบันนี้การช้อปปิ้งออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมสุดๆ และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าจากจีน เพราะสินค้าที่มีราคาถูกและมีหลากหลายตัวเลือก แต่หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นก็คือระบบ Shippingการนำเข้าสินค้าจากจีน หรือการขนส่งสินค้ามายังปลายทางของคุณ
การนำเข้าสินค้าจากจีนจึงเป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการหลายราย ในมุมมองผู้ประกอบการแน่นอนว่าต้องมองหาช่องทางในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ในบทความนี้ เราจะมาช่วยอธิบายให้คุณเข้าใจระบบ shippingนำเข้าสินค้าจากจีน ง่ายๆในเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ประเภทของการขนส่ง เหมาะกับสินค้าแบบไหน? ให้คุณได้เลือกบริการขนส่งให้คุ้มค่าและรวดเร็วที่สุด รวมไปถึงขั้นตอนการนำเข้าและค่าใช้จ่ายที่ควรรู้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการคำณวนต้นทุนอีกด้วย
การขนส่งมีประเภทไหนบ้าง?
ในยุคปัจจุบัน นอกจากความต้องการคุณภาพของสินค้าที่ดีแล้ว ลูกค้าก็ยังชื่นชอบบริการขนส่งสินค้าที่รวดเร็วทันใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจเลือก ประเภทของการขนส่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา เช่น ขนาดและน้ำหนักของสินค้า ระยะทางที่ต้องขนส่ง ต้นทุน และระยะเวลาในการจัดส่ง เพื่อให้เข้าใจภาพรวมมากขึ้น เราสรุปมาให้เรียบร้อยแล้ว โดยรวมแล้วมีดังนี้
1. การขนส่งทางบก (Land Transportation)
การขนส่งทางรถไฟ (Rail Freight)
ข้อดี : สามารถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมากๆในระยะทางไกลๆได้ เช่น ตู้คอนเทนเนอร์ เครื่องจักร เป็นต้น ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าขนส่งทางอากาศหรือทางเรือทำให้เราประหยัดต้นทุนได้ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าการขนส่งประเภทอื่นๆอีกด้วย
ข้อเสีย : มีข้อจำกัดในเรื่องของเส้นทางเพราะเดินทางได้เฉพาะตามเส้นทางของรางรถไฟ ไม่สามารถยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนได้ และระยะเวลาการขนส่ง อาจช้ากว่าการขนส่งทางถนนหรือทางอากาศ โดยเฉพาะถ้ามีความล่าช้าหรือปัญหาในการขนถ่ายสินค้า
- การขนส่งทางรถบรรทุก (Truck Freight)
ข้อดี : สามารถเดินทางไปยังที่หมายได้แทบทุกแห่ง(ในระยะภายในประเทศ) สามารถไปถึงพื้นที่ปลายทางได้โดยตรง และรวดเร็วสำหรับการเดินทางระยะสั้นถึงกลาง
ข้อเสีย : จำกัดน้ำหนักและปริมาณในการขนส่ง ใช้ต้นทุนสูงกว่าแบบรถไฟ และมีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางการจราจร สภาพอากาศ หรือสภาพถนนที่อาจจะทำให้สินค้ามีความเสียหายได้
2. การขนส่งทางน้ำ (Water Transportation)
- การขนส่งทางเรือ (Sea Frieght)
ข้อดี : เหมาะสำหรับขนส่งสินค้าที่หนักหรือจำนวนมากในระยะทางไกล เช่น การขนส่งระหว่างประเทศหรือข้ามทวีป มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการขนส่งทางอากาศ
ข้อเสีย : แม้ว่าจะสามารถส่งสินค้าที่มีน้ำหนักและจำนวนมากได้ แต่ก็ไม่เหมาะกับสินค้าที่มีราคาสูงเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อความล่าช้าเพราะอาจจะเจอปัญหาสภาพอากาศเช่น พายุ หรือคลื่นลมแรง อาจจะใช้เวลา 15-20 วันขึ้นไป ถ้าคุณต้องการการจัดส่งแบบรวดเร็ววิธีนี้อาจจะไม่เหมาะ
3. การขนส่งทางอากาศ (Air Transportation)
- การขนส่งทางเครื่องบิน (Air Freight)
ข้อดี : รวดเร็ว ใช้เวลาน้อยที่สุดในการขนส่งระหว่างประเทศ เหมาะกับสินค้าราคาสูงหรือของใช้ที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีการจัดการความปลอดภัยบนเครื่องบินสูง และสามารถติดตามสถานะได้สะดวก
ข้อเสีย : มีค่าขนส่งสูง ข้อจำกัดเรื่องขนาดและน้ำหนักมีสามารถส่งได้เฉพาะสินค้าขนาดเล็กและน้ำหนักไม่มากเกินไป และข้อจำกัดประเภทของสินค้า คือ ประเภทสินค้าที่เป็นของเหลวหรือวัสดุที่ติดไฟได้บางประเภท
4. การขนส่งแบบ Multimodal (หลายรูปแบบ)
การขนส่งแบบหลายรูปแบบคือการรวมหลายวิธี เช่น ขนส่งทางเรือ + รถบรรทุก หรือ รถไฟ + รถบรรทุก ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการขนส่ง
ข้อเสีย: ต้องวางแผนให้ละเอียดและรอบครอบ เพราะการจัดการระบบที่ซับซ้อนที่อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องของระยะเวลา และ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการเปลี่ยนวิธีขนส่ง
5. การขนส่งทางพัสดุภัณฑ์ร่วม (Consolidation Shipping)
เป็นการรวมพัสดุขนาดเล็กหลายๆชิ้น จากผู้ส่งหลายรายที่มีปลายทางเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน มาบรรจุรวมกันในตู้คอนเทนเนอร์หรือประเภทการขนส่งเดียวกัน เพื่อส่งไปยังปลายทางในทีเดียว ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยลดขั้นตอนการขนส่งทำให้สินค้าถึงมือผู้รับได้เร็วขึ้น
ข้อเสีย : อาจต้องรอสินค้าของผู้ส่งรายอื่นเพื่อรวมกันให้เต็มตู้ ทำให้ระยะเวลาการขนส่งนานขึ้น
และเมื่อนำการขนส่งทั้ง 5 ประเภทมาสรุปจะได้ตารางเปรียบเทียบเพื่อให้คุณเห็นภาพได้ง่ายขึ้น ก็จะได้ประมาณนี้
ประเภทการขนส่ง | ระยะเวลา | ค่าใช้จ่าย | ขนาดสินค้า | ความเหมาะสม |
ทางรถไฟ (Rail Freight) | 10-20 วัน | ปานกลาง | มาก | สินค้าปริมาณมาก ที่ต้องเร็วกว่าเรือ |
ทางรถบรรทุก (Truck Freight) | 5-10 วัน | ปานกลางถึงสูง | ปานกลาง | สินค้าระยะขนส่งใกล้ |
ทางเรือ (Sea Freight) | 15-30 วัน | ต่ำ | มากหรือขนาดใหญ่ | สินค้าปริมาณมาก ไม่เร่งด่วน |
ทางเครื่องบิน(Air Freight) | 3-7 วัน | สูง | ปานกลาง | สินค้าราคาแพงหรือสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว |
หลายรูปแบบ(Multimodal) | 10-30 วัน(ขึ้นอยู่กับเส้นทาง) | ปานกลางถึงต่ำ | ปานกลางถึงมาก | สินค้าที่ส่งระยะไกลแต่ต้องารลดต้นทุน |
ทางพัสดุภัณฑ์ (Consolidation) | 15-30 วัน | ต่ำ | น้อยถึงปานกลาง | สินค้าจำนวนน้อย ที่สามารถแชร์พื้นที่ในคอนเทนเนอร์ |
ค่าใช้จ่ายที่คุณควรรู้
เมื่อคุณได้เลือกประเภทขนส่งที่เหมาะสมแล้ว ค่าใช้จ่ายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ต้องนึกถึงเช่นกัน เพื่อให้คุณสามารถวางแผนงบประมาณได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น เรามาดูกันว่าค่าใช้จ่ายหลักๆ 4 อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าจากจีนมีอะไรบ้าง
- ค่าสินค้า: รวมถึงราคาต้นทุน ค่าตัวอย่าง และค่าเครื่องมือพิเศษ
- ค่าขนส่ง: ครอบคลุมค่าขนส่งภายในจีน ระหว่างประเทศ ค่าประกัน และภาษีศุลกากร
- ค่าดำเนินการ: ค่าบริการตัวแทน ค่าธรรมเนียมท่าเรือ และค่าเอกสารต่างๆ
- ค่าอื่นๆ: ค่าตรวจสอบคุณภาพ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าเก็บรักษาสินค้า
หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสินค้า รวมถึงนโยบายภาษีของทั้งสองประเทศ
การนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจที่น่าสนใจ แต่ต้องมีการวางแผนที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งหรือ Shipping ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น ประเภทสินค้า, ปริมาณ, ระยะเวลาที่ต้องการ และงบประมาณที่มี หรือการเลือกประเภทการขนส่งที่เหมาะสม การเตรียมเอกสารที่ถูกต้องและการผ่านพิธีการศุลกากรอย่างราบรื่นก็มีความสำคัญเช่นกัน
และหากคุณสนใจที่จะเริ่มต้นการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน บริการของ P.S. SPORT CARGO สามารถเป็นผู้ช่วยที่ดีของคุณได้ ด้วยบริการขนส่งจากจีนที่ลูกค้าไว้วางใจมากที่สุดมากว่า 10 ปี มีทีมล่ามที่เชี่ยวชาญดูแลประสานงานกับทางร้านค้าและโรงงานจีน มีบริการการขนส่งที่มีราคาถูก พร้อมดูแลอย่างเป็นระบบ ที่กล้าให้เรทราคาที่ถูกและคุ้มค้าที่สุดอย่างแน่นอน
ติดต่อชิปปิ้งจีน PS SPORT CARGO
ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม
หรือรับโปรโมชั่นพิเศษ
ติดต่อได้ในวันทำการ : จันทร์ - ศุกร์
เวลาทำการ : 08.00 - 17.00 น.